จุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
เมื่อชีวิตมีการหักเหอีกครั้ง พ.ต.ท.สวัสดิ์ จึงตัดสินใจหันหลังให้กับชีวิตข้าราชการตำรวจแล้วลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขต 35 บางขุนเทียน-บางบอน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงตัดสินใจรับราชการอีกครั้งในตำแหน่งรองผู้กำกับการตำรวจสันติบาล และได้รับพระราชทานยศเป็น พ.ต.อ.สวัสดิ์ จำปาศรี
ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จทางการเมือง แต่เมื่อเป็นผู้ที่มีความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าที่ผ่านมา นายตำรวจนักการเมืองผู้นี้มีความซื่อสัตย์ จริงใจ เสียสละ มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานอย่างแท้จริงทำให้ได้รับการแต่งตั้งจาก หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
หน้าที่ของที่ปรึกษาผู้ว่าฯ
งานที่ท่านผู้ว่าฯ มอบหมายให้ก็คือ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรองประธานคณะกรรมการติดตามนโยบายของผู้วาฯ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ฝั่งธนบุรีทั้งหมด 15 เขต พร้อมกับติดตามการทำงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักเทศกิจ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกรุงเทพมหานคร หรือ กอ.รมน.กทม. และประสานงานการทำงานกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นอกเหนือไปกว่านั้นคือดูแล 15 เขต ในฝั่งธนฯ จาก 50 เขต ทั่วกรุงเทพ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ในฝั่งธนฯ คือกลุ่มกรุงธนใต้ ประกอบด้วย ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ บางบอน บางขุนเทียน หนองแขม ภาษีเจริญ บางแค และฝั่งกรุงธนเหนือ คือ จอมทอง ธนบุรี คลองสาน บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ บางพลัด ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา ซึ่งทั้ง 15 กลุ่มนี้ต้องเป็นไปตามกรอบนโยบายของท่านผู้ว่าฯ โดยเฉพาะเรื่องการจราจร สิ่งแวดล้อม การศึกษา สุขภาพ เศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งจะต้องให้แต่ละสำนักงานเขตได้ดำเนินการตอบรับตามนโยบาย โดยทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการประสานงานและติดตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ลงลึกในรายละเอียด
ในเรื่องของการดูแลบังคับใช้กฎหมายที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น สนับสนุนเรื่องโครงการเทศกิจจราจร เทศกิจท่องเที่ยว เทศกิจพิทักษ์นักเรียน ส่วนเรื่องป้องกันสาธารณภัยนั้นจะให้ข้อคิดข้อแนะนำ โดยเน้นหนักในเรื่องของความมั่นคง ก็คือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ใน กทม. ซึ่งมีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน ตามทะเบียนบ้าน และยังมีประชากรแฝงอีก 5 ล้านคนจากทั่วภูมิภาคที่มาจากหลาย ๆ ภาค รวมแล้วประชากรในกทม. มีไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ซึ่ง กทม.ต้องดูแลทั้งหมดโดยไม่เลือกปฏิบัติ
ส่วนนโยบายความปลอดภัยนั้นก็มีหลายเรื่องเช่น โครงการอาสาสมัครพิทักษ์คนเมือง เช่น การติดตั้งกล้อง cctv. จำนวน 20,000 ตัว ติดไฟฟ้าส่องสว่างตามจุดเสี่ยงภัย 50,000 ดวง รวมทั้งการจัดตั้งอาสาสมัครรักษาความปลอดภัย โดยการจัดตั้งการกระจายอยู่ทั่ว กทม. ซึ่งมาจากผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ประมาณ 4,000 วิน ที่จดทะเบียน รวมแล้วประมาณ 130,000 คน และแท็กซี่ ที่ประมาณงานแล้วประมาณ 140,000 คน และอพปร. ซึ่งผ่านการอบรมแล้ว 50,000 คน รปภ. อีก จำนวน 2,300 บริษัท นอกจากนั้นก็มีอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ หน่วยกู้ชีพ หน่วยกู้ภัย ให้เป็นเครือข่ายที่เสียสละและมีจิตอาสา เมื่อพบเห็นเหตุร้าย เหตุไม่พึงประสงค์ เขาก็จะมีหน้าที่จดจำตำหนิ รูปพรรณสัณฐานคนร้าย แล้วแจ้งไปยัง 1555 หรือ 191 นอกจากนี้เราก็ยังมีกระบอกเสียงคือศูนย์วิทยุ จส.100 และศูนย์วิทยุการจราจร และ สวพ.91 ซึ่งมีการอบรมไปแล้วส่วนใหญ่
ตัวแทนภารกิจผู้ว่าฯ
หน้าที่ของที่ปรึกษาผู้ว่าฯ อีกอย่างก็คือ ตามงานที่ท่านผู้ว่าฯ มอบหมาย โดยเป็นตัวแทนร่วมงาน ร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการปรับภูมิทัศน์สนามหลวง ซึ่งมีการประชุมมาตั้งแต่หลายเดือนที่ผ่านมา โดยมีองค์กร หน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมประชุม เพราะการปรับภูมิทัศน์นั้นเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย กระทรวงแรงงาน ฯ ส่วนคนที่อยู่สนามหลวงและผู้ที่อยู่ใกล้พระบรมมหาราชวัง ก็จะให้พี่น้องที่อยู่รอบๆ นั้นไปพักยังสถานที่จัดเตรียมไว้ให้
ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. ก็มีการเริ่มจับนกพิราบโดยมีสัตวแพทย์จากกรมปศุสัตว์ เป็นผู้อนุบาลนก ซึ่งก็มีเสียงวิพากย์วิจารณ์ต่างๆ พอหลังจาก 15 วันก็ต้องมีการโยกย้ายนกทั้งหมดไปที่ซอยลาดพร้าว 101 จากนั้นจึงเริ่มเอารถ เอาคนไร้บ้าน ออกจากสนามหลวง โดยหาบ้านพักไปตามบ้านประชาบดี ฯลฯ และจะมีการสร้างบ้านเพื่อให้กลุ่มคนที่อยู่ในสนามหลวงได้ให้มีที่อาบน้ำ เพื่อสุขอนามัยที่ดี โดยไปตั้งอยู่ที่บางกอกน้อย ส่วนคนที่มีปัญหาสติไม่ดี ก็จะเอาไปบำบัดรักษา หากมีคนอยากฝึกอาชีพก็ไปฝึกอาชีพที่ กทม. มีแผนรองรับทุกอย่างเอาไว้ แล้ว
พอมาถึงเดือนมีนาคม ปรากฏว่ามีเหตุการณ์บ้านเมืองขึ้นมา ทำให้ต้องชะงักโครงการ ซึ่งเมื่อเหตุการณ์สงบแล้วสำนักโยธาก็จะทำการสร้างที่อยู่ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน ซึ่งถ้าสนามหลวงสวยงามก็จะเป็นสมบัติของชาติ เช่นงานพระราชพิธีสำคัญๆ ของชาติ ก็ต้องใช้พื้นที่แห่งนี้ โดยจะทำให้เสร็จภายในวันที่ 30 พ.ย. 2553 เพื่อให้ทันรับงานมหามงคล 5 ธันวาคม ในปีนี้ ซึ่งการทำงานทุกอย่างนั้นเป็นไปตามนโยบายของท่านผู้ว่าสุขุมพันธุ์ บริพัตร ในทุกด้าน
ท้ายสุด พ.ต.อ. สวัสดิ์ จำปาศรี ยังคงยืนยันในความตั้งใจจริงในการทำงาน โดยกล่าวเพียงสั้นๆ แต่มีความหมายอันลึกซึ้งว่า “แม้ผมจะเป็นคนต่างจังหวัด แต่ก็ตั้งรกรากอยู่ฝั่งธนบุรีมากว่า 40 ปี หากมีอะไรก็ขอให้ติดต่อได้โดยตรง ถ้าปัญหาความเดือดร้อนนั้น สามารถแก้ไขได้ทันที ด้วยความมุ่งมั่นตามสโลแกนของท่านผู้ว่าฯ ที่กล่าวว่า “ทั้งชีวิต เราดูแล”
วารสารหยดน้ำ
ฉบับเดือนมีนาคม - เมษายน 2553
|