การวางแผนภาษีมรดก
กฎหมายภาษีของบ้านเรานั้น ได้ส่งเสริมให้มีการโอนทรัพย์สินจากพ่อแม่ไปสู่ลูกๆ ซึ่งโดยปกติจะไม่มีภาระภาษีใดๆทั้งสิ้น การที่รัฐส่งเสริมเช่นนี้ เพราะเห็นว่าเป็นการให้กับลูกๆ ซึ่งพ่อแม่มีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ ตามกฎหมายแพ่งอยู่แล้ว และในความเป็นจริงก็เป็นการดีสำหรับลูกๆ เมื่อพ่อแม่ถึงแก่ชีวิตแล้ว ก็จะไม่มีมรดกให้ลูกๆ ทะเลาะกันในการแบ่งมรดกด้วย เพราะพ่อแม่ได้จัดการแบ่งให้เรียบร้อยแล้วก่อนที่จะเสียชีวิต ก็โชคดีสำหรับลูกๆ ไป
ฉะนั้นฉบับนี้ผู้เขียนจึงนำเรื่องราวเกี่ยวกับภาระภาษีระหว่างผู้โอน(พ่อ แม่) กับผู้รับโอน (ลูกๆ) ซึ่งสามารถแยกภาษีของแต่ละฝ่ายได้ดังนี้
1.ฝ่าย ผู้โอน (พ่อ –แม่)
- กรณีโอนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกๆ ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ และภาษีธุรกิจเฉพาะ
- กรณีโอนสังหาริมทรัพย์ ให้แก่ลูกๆ ไม่มีภาษีเงินได้เพราะไม่ถือเป็นการขายตามกฎหมาย
- กรณีโอนเงินสดให้แก่ลูกๆ ไม่มีภาระภาษีเงินได้ และไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะไม่ใช่ธุรกรรมทางธุรกิจ
2. ฝ่ายผู้รับโอน (ลูกๆ)
- กรณีรับโอนอสังหาริมทรัพย์ ลูกๆ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ แต่ว่าเมื่อใดที่ลูกๆ ขายอสังหาริมทรัพย์ออกไป จะต้องเสียภาษีเงินได้จากการขาย และเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
- กรณีรับโอนสังหาริมทรัพย์ ลูกๆได้รับยกเว้นภาษี กล่าวคือไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
- กรณีรับโอนเงินสด ลูกๆ ได้รับยกเว้นภาษี กล่าวคือไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
แต่อย่างไรก็ดี สำหรับลูกๆที่พ่อแม่ในขณะมีชีวิตอยู่ไม่ได้แบ่งทรัพย์สินกันให้เรียบร้อย เมื่อพ่อ – แม่ เสียชีวิตลง ที่ดินจึงตกเป็นมรดกแก่ลูก ๆ หากลูก ๆ ไม่ต้องการแบ่งแยกที่ดินกัน อาจจะเป็นเพราะที่ดินมีขนาดแปลงเล็กจนไม่สามารถแบ่งกันได้ หรือด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ลูกๆ ต้องการขายที่ดินเพื่อนำเงินมาแบ่งปันกันแทน แต่ปรากฏว่าการขายที่ดินที่เป็นมรดกนั้นลูกๆ ที่ขายที่ดินถือว่าเป็นผู้มีเงินได้ จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งกรณีดังกล่าวก็มีวิธีประหยัดภาษีได้เช่นกัน
การจดทะเบียนการขายกรรมสิทธ์ที่ดินนั้น ทุกคนทราบดีว่าต้องไปดำเนินการกันที่สำนักงานที่ดินที่ที่ดินตั้งอยู่ในเขตนั้นๆ ซึ่งการจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เป็นมรดกนั้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
1. ผู้จัดการมรดกโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินในนามผู้จัดการมรดกให้แก่ผู้ซื้อได้โดยตรง
2. ผู้จัดการมรดกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับทายาททั้งหลายที่มีสิทธิรับมรดกก่อน แล้วทายาททั้งหลายจึงโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับผู้ซื้ออีกทอดหนึ่ง ซึ่งสามารถทำนิติกรรมในวันเดียวกันได้ ไม่ต้องห่วงครับเจ้าหน้าที่ที่ดินเขาเก่ง!!!!!
บางคนอาจจะมองว่า ทั้งสองกรณีน่าจะไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน ความจริงแล้วทั้งสองกรณีนั้นมีภาระภาษีที่แตกต่างกันมากนะครับ กล่าวคือ
ถ้าผู้รับมรดกมีคนเดียวก็ให้ใช้วิธีที่ 1. จะได้ไม่ต้องเสียค่าจดทะเบียนรับโอนมรดกของทายาท คงเสียแต่ภาษีเงินได้จากการขายที่ดินและค่าอากรแสตมป์ของกองมรดกเท่านั้น แต่ถ้าทายาทที่มีสิทธิรับมรดกมีหลายคนขอแนะนำให้ใช้วิธีที่ 2. เพราะสามารถประหยัดภาษีเงินได้ของทายาทได้มากเลยนะครับ เพราะการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น จะคิดคำนวณจากราคาประเมินของที่ดินหักด้วยค่าใช้จ่ายในอัตราร้อยละห้าสิบของราคาประเมินแล้วนำเงินที่เหลือมาหารด้วยจำนวนของทายาทที่ได้รับแต่ละคน จากนั้นจึงจะนำเงินได้ของทายาทแต่ละคนมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้าของแต่ละคนจึงจะเป็นอัตราภาษีที่ต้องเสีย ซึ่งแม้ว่าการรับมรดกของทายาทนั้นจะต้องเสียค่าจดทะเบียนการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในอัตราร้อยละ 0.5 ของราคาประเมินก็ตาม แต่ก็น้อยกว่าการเสียภาษีเงินได้ของกองมรดก ซึ่งจะต้องเสียในอัตราก้าวหน้าสูงสุดถึงร้อยละ 20 ของราคาประเมินที่ดิน
ซึ่งผู้เขียนเคยใช้วิธีที่ 2 .มาแล้ว กรณีของกองมรดกขายที่ดินมรดกจำนวน 74 ล้านบาท โดยมีทายาทจำนวน 15 คน หากใช้วิธีที่ 1 จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่สำนักงานที่ดินเป็นเงินประมาณ 5.6 ล้านบาท แต่หากใช้วิธีที่ 2 จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่สำนักงานที่ดิน ประมาณ 2 ล้านบาทเศษ จะเห็นได้ว่าสามารถประหยัดภาษีไปได้ประมาณ 3.6 ล้านบาท รถยนต์งาม ๆ คันหนึ่งเลยนะครับท่านผู้อ่าน
การวางแผนภาษีไม่ใช่การเลี่ยงภาษีนะครับ แต่เป็นวิธีการเสียภาษีอย่างประหยัด และถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
วารสารหยดน้ำ
ฉบับเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2552
|