จริงใจทำงาน พัฒนาท้องถิ่น
ไสว โชติกะสุภา
สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตราษฎร์บูรณะ
ด้วยประสบการณ์การทำงานการเมืองท้องถิ่นและทราบถึงปัญหาชุมชนมากว่า 28 ปี ทำให้ ไสว โชติกะสุภา ได้รับความไว้วางใจได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานครเป็นสมัยที่ 3 รวมทั้งยังมีประวัติการทำงานดีเยี่ยมด้วยรางวัลแหนบทองคำในฐานะผู้ใหญ่บ้านดีเด่นจากกระทรวงมหาดไทย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จะเดินทางสู่เส้นทางการเมืองนั้นท่านเคยผ่านงานการเป็นพนักงานประจำห้องพักโรงแรม ทหารกองประจำการกองพันทหารอากาศโยธิน พนักงานขับรถ จนกระทั่งได้เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สู่ตำแหน่งอันภาคภูมิต่างๆ รวมทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภากรุงเทพมหานคร คนที่ 1 เมื่อปี 2549-2551 อีกด้วย
ชีวิตในวันวาร
“ผมเกิดเมื่อปี 2491 คุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก มีอาชีพรับจ้างทั่วไป จบมัธยมที่โรงเรียนวัดแจงร้อน เดิมครอบครัวนั้นยากจน เป็นคนหาเช้ากินค่ำ พอจบม.3 ก็มีญาติชวนไปทำหน้าที่คนรักษาความสะอาด ที่โรงแรมมานิดา หน้าไปรษณีย์กลาง ซึ่งตอนนี้ได้เลิกกิจการไปแล้ว ผมทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งล้างจาน รวมทั้งรูมบอย ตั้งแต่ปี 2507 จากนั้นมาก็ถูกเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2511 และก็ไปทำหน้าที่ขับรถให้กับเจ้าของบริษัทไทยสินคอมเมอร์เชียลจำกัด และบริษัทเซมมิเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
จากนั้นจึงไปช่วยงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ให้กับผู้ใหญ่บ้านสมาน วุฒิสมบูรณ์ หมู่ 4 บางปะกอก ด้วยความที่เป็นคนชอบอาสาทำโน่นทำนี่มาเรื่อย ต่อมาท่านผู้ใหญ่สมานไปสมัครเป็น ส.ส. ผมเองโดยส่วนตัวก็ไม่ได้สนใจจะลงตำแหน่งทางการเมือง แต่เมื่อท่านผู้ใหญ่สมานลาออกจากการเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผมก็ได้มีโอกาสไปลงสมัคร ซึ่งในขณะนั้นไม่มีคนชิงตำแหน่งนี้ และด้วยความที่ผมเคยผ่านงานมาบ้างเลยทำให้ผมได้รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ม.4 เขตราษฎร์บูรณะเมื่อปี 2529 จากนั้นก็เป็นผู้ใหญ่บ้านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2540 ผมก็ได้รับรางวัลแหนบทองคำ ซึ่งเป็นรางวัลผู้ใหญ่บ้านดีเด่นจากกระทรวงมหาดไทย”
|
|
เส้นทางสู่การเมือง
“ต่อมาท่านถวิล ไพรสณฑ์ ได้มาชวนผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ช่วงแรกผมก็ยังไม่ได้สนใจ เพราะผมจบแค่ ม.3 เท่านั้น ผมเองโดยส่วนตัวแล้วไม่มีความคิดที่จะเข้าสังกัดพรรคการเมืองไหน สุดท้ายท่านถวิลก็มาชวนผมอีกรอบให้ลงสมัคร ส.ก.พรรคประชาธิปัตย์ แข่งกับพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2541 แต่ด้วยความที่ผมรู้จักคนเยอะแล้วก็มีคนเห็นว่าผมเป็นคนทำงาน ปรากฏว่าชนะการเลือกตั้ง แต่ว่าก็ไม่ได้มีคะแนนที่มากมายนัก และในสมัยแรกนี้ก็ได้ตำแหน่ง ส.ข.มาด้วยอีก 7 คน
ผมเองมีเป้าหมายในการทำงาน ด้วยความที่เป็นนักเรียนโรงเรียนวัดประเสริฐสุทธาวาสและโรงเรียนวัดแจงร้อน ผมมองว่าการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องทำก่อน และผมก็มีนโยบายในการทำงานว่าถ้าได้รับการเลือกตั้ง ผมจะสนับสนุนเรื่องการศึกษาเป็นอันดับแรก จึงเริ่มศึกษาระบบงบประมาณ สื่อการเรียนการสอน เรื่องสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน จึงได้เริ่มต้นทำในเรื่องการศึกษาเป็นอันดับต้นๆ
เมื่อเลือกตั้งสมัยที่ 2 ต่อมาได้เป็น ส.ก. เพียงคนเดียว เมื่อได้เข้ามาทำงานในเขตราษฎร์บูรณะก็ได้รู้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีความร่วมมือระหว่างข้าราชการกับนักการเมืองเลย ผมจึงได้เข้ามาช่วยเหลือประชาชนและรู้ว่าเขามีความต้องการอย่างไร พอมีงบประมาณเข้ามาก็เริ่มกระจายออกไปสู่โรงเรียนต่างๆ เป็นอันดับแรก การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องรองลงมาและเรื่องของการศาสนา แม้แต่สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ เพราะผมเห็นว่าพนักงานลูกจ้างของกทม. ไม่ว่าจะเป็นคนกวาดถนน คนงานล้างท่อ คนทั้งหลายเหล่านี้ย่อมมีความสำคัญต่อการพัฒนากรุงเทพมหานคร เราต้องให้เกียรติเขาต้องเข้าไปดูแลความเป็นอยู่ให้กับคนเหล่านี้เพราะเขามีส่วนที่ทำให้กรุงเทพมหานครมีความสะอาด น่าอยู่
ส่วนเรื่องของศาสนาผมก็มองช่องทางอยู่ว่าเราจะหาช่องทางเพื่อนำงบประมาณอะไรมาบำรุงวัดได้บ้าง พอมาถึงการเป็น ส.ก.สมัยที่ 3 คุณภรภัทร ภรรยาได้มาเป็น 1 ในทีม ส.ข.ของผมพร้อมๆ กับ ส.ข.ธเนศ ซึ่งตรงกับสมัยที่คุณอภิรักษ์เป็นผู้ว่าฯ จึงได้เสนอเรื่องเข้าไปเพราะมีโครงการที่ทาง กทม. ต้องการให้วัดแจงร้อนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร จึงทำเรื่องซ่อมแซมปรับปรุงถนนหน้าวัดโดยได้งบประมาณมา 2 ล้าน และอีก 11 ล้านเพื่อปรับปรุงพระอุโบสถ จากนั้นก็ซ่อมวิหารเป็นที่เรียบร้อย และปัจจุบันวัดแจงร้อนเป็นศูนย์การเรียนรู้ของโรงเรียนวัดแจงร้อน และโรงเรียนแจงร้อนวิทยา ต่อมาก็ได้บำรุงอีกหลายวัดในเขตราษฎร์บูรณะ”
แผนงานในอนาคต
“ผมกำลังจะปรับปรุงซอยสุขสวัสดิ์ 30 เพื่อเชื่อมเส้นทางพุทธบูชา 39 เขตจอมทอง 25 เพื่อทะลุออกเส้นทางพระราม 2 ด้วยงบประมาณ 60 ล้านบาท และจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ผมยังต้องการหาที่ทำถนนเพิ่มเติมจากคนที่ต้องการบริจาคที่ดินในถนนประชาอุทิศเพื่อให้สาธารณะด้วยการข้ามคลองราษฎร์บูรณะมาได้ก็จะทำให้เส้นทางสะดวกขึ้น ตอนนี้ผมก็กำลังประกาศหาคนที่ต้องการบริจาคที่ดินอยู่
เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบการเป็นทางการ ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง ใครจะมาปรึกษาหารือเรื่องใดก็ได้ ผมอาศัยว่ามีความจริงใจในการทำงาน เมื่อรับปากใครในเรื่องอะไรก็ต้องทำให้ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องบอกว่าไม่สามารถทำให้ได้ ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเขตราษฎร์บูรณะผมว่า เกือบสมบูรณ์ถ้าคนภายในเขตมีความร่วมมือ จับมือกันได้เพื่อเอกภาพของท้องถิ่น เขตราษฎร์บูรณะจะน่าอยู่มาก
และในเดือน ก.ค. ที่กำลังจะหมดวาระลง ผมวางแผนไว้ว่าเมื่อหมดสมัยที่ 3 นี้แล้ว ต้องบอกว่าเรื่องของการเมืองนั้น ผมไม่ต้องการคนที่จะมาเอาเงินจากผม และผมก็ไม่ต้องการคุณ แต่ผมต้องการคนที่เดือดร้อนแล้วมีใจเข้ามาหาผมเพื่อผมจะได้ช่วยเหลือ การให้เงินประชาชนถือว่าเป็นการดูถูกประชาชน แต่หากประชาชนจะเลือกผม ต้องใช้งานผม ต้องใช้ใจต่อใจ ทุกวันนี้ผมก็ทำงานอย่างเต็มที่ มีทีมงานลงพื้นที่ทุกวัน เหลืออยู่เรื่องเดียวที่ต้องการทำคืออยากให้น้ำในคลองราษฎร์บูรณะมีความใสสะอาด ซึ่งผมเองพยายามทำมาโดยตลอด แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร”
ผลงานอันภาคภูมิ
“ผมมีความภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเรื่องโรงเรียนในเขตราษฎร์บูรณะได้มาก โดยส่วนตัวแล้ว 11 ปี ที่ผ่านมาผมว่า ‘คนเป็นนักการเมืองต้องมีความจริงใจ พัฒนาท้องถิ่น ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง’ หลายคนอาจมองว่าผมมีผลประโยชน์ บอกได้เลยว่าถ้าไม่มีธุรกิจบริษัทพนมชัยแมนูแฟคเจอร์จำกัดเป็นของตัวเองก็ไม่สามารถไปช่วยเหลือประชาชนได้หรอก เพราะเงินเดือนเพียง 4 หมื่นบาท เพียงแค่ภาษีสังคมต่อวันก็ไม่เพียงพอแล้ว แต่ว่าเราไม่ได้คิดตรงนั้น ผมเองก็แบ่งปันเงินจากธุรกิจลูกๆ มาบ้าง ผมเชื่อว่าในสายตาของชาวบ้านเขาไม่มองผมว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์แน่นอน
สุดท้ายอยากฝากถึงพี่น้องชาวเขตราษฎร์บูรณะว่าผมอยากสร้างสรรค์ให้กรุงเทพมหานครมีความน่าอยู่ หากพี่น้องประชาชนมีความเดือดร้อนสามารถติดต่อผมได้ตลอด อยากให้ทุกคนรักกัน อย่าแบ่งแยกกันด้วยสีเสื้อ หรือเงินตราแล้วทุกคนจะมีความสุข” นี่คือสิ่งที่ผู้อุทิศตนเพื่อประชาชนได้ตั้งปณิธานเอาไว้ ซึ่งเชื่อว่าคงเป็นของขวัญในการเริ่มต้นปีใหม่ที่ทำให้ทุกคนอิ่มเอมใจได้เป็นอย่างดี
วารสารหยดน้ำ
ฉบับเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2552
|