เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2553 ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน (ส่วนแจ้งที่ไหนไม่อยากเอ่ยถึงเลยนะครับ) ด้วยตนเองในฐานะผู้เสียหาย (ปกติจะไปในนามทนายความ) ได้เห็นความอืดอาจยืดยาดในการทำงานของพนักงานสอบสวน ที่จะมาเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ก็เพื่อหาพยานหลักฐานสำคัญในทางคดี ในการที่จะได้ติดตามหาตัวผู้กระทำความผิด และเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายนั้น ไม่ค่อยจะประทับใจ
ทั้งนี้คงไม่เกี่ยวกับตำรวจมะเขือเทศที่เขาช่างเปรียบเทียบได้ดีจริงหรอนะครับ เพราะคดีนี้เป็นแค่คดีขโมยขึ้นบ้านเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีของการเมือง
แต่เข้าใจว่าการทำงานของพนักงานสอบสวน ยังยึดติดกับการสืบสวนสอบสวนแบบเดิมๆ ไม่ได้ทำงานในเชิงรุก โดยเฉพาะในคดีที่ผู้เสียหายที่แจ้งความร้องทุกข์ โดยไม่ได้ระบุตัวคนร้ายหรือตัวผู้กระทำความผิด พนักงานสอบสวนจะไม่ค่อยใส่ใจที่จะแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานตามสมควร ในการที่จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิด และเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
ความจริงแล้ว การแจ้งความร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้อำนาจผู้เสียหาย แม้ว่าในการแจ้งความร้องทุกข์นั้น จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ตาม ก็สามารถแจ้งความความร้องทุกข์ได้ เพียงแต่การแจ้งความร้องทุกข์นั้นจะต้องมีเจตนาให้เอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นการแจ้งความร้องทุกข์โดยชอบตามกฎหมายแล้ว
ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เมื่อได้รับแจ้งความร้องทุกข์จากผู้เสียหายแล้ว ก็มีหน้าที่ตามกฎหมายในการเข้าตรวจที่เกิดเหตุ (ยกเว้นคดีข่มขืนเข้าที่เกิดเหตุไม่ได้ ) เพื่อแสวงหาพยานหลักฐาน ทั้งพยานวัตถุ พยานเอกสาร พยานบุคคล ตลอดจนมีอำนาจออกหมายเรียกพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องให้มาให้ถ้อยคำ หรือหากจะมีข้อสงสัยว่า มีบุคคลผู้กระทำผิดหรือสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถขออำนาจศาลเพื่อขอหมายค้น ณ สถานที่นั้นได้
ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งหลายในการที่จะรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อที่จะพิสูจน์ความผิด หรือเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
แต่ในคดีที่ผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ โดยไม่ระบุตัวผู้กระทำความผิด หรือไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์ มีพนักงานสอบสวนน้อยคน หรือแทบจะไม่มี ในการที่จะเข้าตรวจที่เกิดเหตุ เพื่อที่จะแสวงหาพยานหลักฐานทั้งพยานวัตถุ พยานเอกสาร และพยานบุคคล เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงแห่งรายละเอียดของการกระทำผิดตามหน้าที่ของตนเอง ในการที่จะรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
ฉะนั้นทุกเทศกาลที่มีวันหยุดยาว ๆ เราจะได้อ่านข่าวตามสื่อทั้งหลายว่า ท้องที่นั้น ท้องที่นี่มีขโมยขึ้นบ้าน และก็เป็นการลงเอยเสมอว่า จับมือใครดมไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพราะการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ไม่ได้ทำงานในเชิงรุก ยึดติดอยู่กับคำว่า “ประจักษ์พยาน” หรือ “พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์” เป็นสำคัญ
ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ตำรวจต้องแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่ได้จากการแจ้งความร้องทุกข์ แม้ว่าอาจจะเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ใช่ประจักษ์พยานโดยตรง แต่หากพยานหลักฐานดังกล่าวสอดคล้องต้องกัน อาจนำไปสู่การเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้
ศาลเองทุกวันนี้แนวการตัดสินคดีต่างๆ ก็ก้าวหน้าไปเยอะ ในการรับฟังพยานหลักฐาน แม้ว่าจะไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานที่เห็นเหตุการณ์ก็ตาม แต่ถ้ามีพยานแวดล้อมที่มีความสอดคล้องต้องกันแล้ว ศาลก็อาจนำมาฟังมีน้ำหนักลงโทษผู้กระทำความผิดได้ ซึ่งจะเห็นได้จากหลายคดีจากทางหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ที่ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วนะครับ